เป็นวีดีโอสอนการใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาแนวรับ แนวต้าน จุดเข้าจุดออก และเป้าหมายของราคา
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการเทรด
เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://thaiforexschool.com/index.php?board=6.0 เว็บวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของนักลงทุนรุ่นใหม่
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการเทรด
เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://thaiforexschool.com/index.php?board=6.0 เว็บวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของนักลงทุนรุ่นใหม่
รูปแบบกราฟแท่งเทียน (CandleStick Chart Pattern)
ที่่มา http://9professsionaltrader.blogspot.com รูปแบบกราฟแท่งเทียน
What 's Candle Stick Chart ? กราฟแท่งเทียนคืออะไร
กราฟ แท่งเทียนเป็นกราฟที่แสดงราคาของหุ้นตัวนั้น ซึ่งจะแสดงราคาเปิด ( Open Price ) ราคาปิด(Close Price) ราคาสูงสุด ( High Price) และราคาต่ำสุด( Low Price ) โดยต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียนมาจากประเทศยี่ปุ่นโดยมีประวัติย้อนหลังยาวนาน มาก โดยนาย Munehisa Homma เป็นผู้คิดค้นจากการวิเคราะห์จิตวิทยาของคนในการซื้อชายและกำหนดราคาข้าว และเขาได้เขียนหนังสือไว้สองเล่มคือ Sakata Henso และ Soba No Den เมื่อประมาณ พ.ศ. ที่ผ่านมาประเทศกลุ่มตะวันตกทั้งหลายได้เห็นถึงประสิทธิภาพจึงได้นำมา ประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยรูปแบบต่างๆของกราฟแท่งเทียนนั้นมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 50ประเภท แต่เรานำมาประยุกต์ใช้กับตลาด ณ ปัจจุบันเพียงและเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
รูปร่างทั่วไปของแท่งเทียน General Of CandleStick Sharp
แท่ง เทียนจะประกอบด้วย ราคาปิด ราคาเปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ซึ่งระยะระหว่างราคาปิดและราคาเปิดเราจะเรียกว่า ตัวแท่ง ( Body) ใส้เทียนด้านบน คือ Upper Shadow และ ใส้เทียนด้านล่าง Lower Shadow
ลักษณะของแท่งเทียนมีอยู่ สาม แบบ คือ
1. แท่งเทียนขาขึ้น Bullish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาขึ้นนี้ ราคาปิดจะอยู่สูงกว่าราคาเปิด
2.แท่งเทียนขาลง Bearish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาลงคือ ราคาปิดจะต้องต่ำกว่าราคาเปิด
3.Doji โดจิคือ ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเป็นราคาเดียวกัน หรือ อยู่ใกล้เคียงกันมากๆ
รูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern ) มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
1.รูปแบบของแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick Pattern)
2.รูปแบบของแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick Pattern)
3.รูปแบบของแท่งเทียนแบบต่อเนื่อง (Continuous Candlestick Patern)
Hammer: เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลงมีแท่งเทียนสีดำลงมาเรื่อยๆ จากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด โดยลักษณะของแท่งเทียนจะเป็นแบบตะปู โดยที่มีราคาปิดจะปิดสูงกว่าราคาต่ำสุดลักษณะนี้เราจะเรียกว่า Hammer
ที่่มา http://9professsionaltrader.blogspot.com รูปแบบกราฟแท่งเทียน
What 's Candle Stick Chart ? กราฟแท่งเทียนคืออะไร
กราฟ แท่งเทียนเป็นกราฟที่แสดงราคาของหุ้นตัวนั้น ซึ่งจะแสดงราคาเปิด ( Open Price ) ราคาปิด(Close Price) ราคาสูงสุด ( High Price) และราคาต่ำสุด( Low Price ) โดยต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียนมาจากประเทศยี่ปุ่นโดยมีประวัติย้อนหลังยาวนาน มาก โดยนาย Munehisa Homma เป็นผู้คิดค้นจากการวิเคราะห์จิตวิทยาของคนในการซื้อชายและกำหนดราคาข้าว และเขาได้เขียนหนังสือไว้สองเล่มคือ Sakata Henso และ Soba No Den เมื่อประมาณ พ.ศ. ที่ผ่านมาประเทศกลุ่มตะวันตกทั้งหลายได้เห็นถึงประสิทธิภาพจึงได้นำมา ประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยรูปแบบต่างๆของกราฟแท่งเทียนนั้นมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 50ประเภท แต่เรานำมาประยุกต์ใช้กับตลาด ณ ปัจจุบันเพียงและเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
รูปร่างทั่วไปของแท่งเทียน General Of CandleStick Sharp
แท่ง เทียนจะประกอบด้วย ราคาปิด ราคาเปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ซึ่งระยะระหว่างราคาปิดและราคาเปิดเราจะเรียกว่า ตัวแท่ง ( Body) ใส้เทียนด้านบน คือ Upper Shadow และ ใส้เทียนด้านล่าง Lower Shadow
ลักษณะของแท่งเทียนมีอยู่ สาม แบบ คือ
1. แท่งเทียนขาขึ้น Bullish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาขึ้นนี้ ราคาปิดจะอยู่สูงกว่าราคาเปิด
bullish candlestick แท่งเทียนขาขึ้น |
bearish candlestick แท่งเทียนขาลง |
3.Doji โดจิคือ ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเป็นราคาเดียวกัน หรือ อยู่ใกล้เคียงกันมากๆ
doji ราคาปิดและราคาเปิดอยู่ตำแหน่งเดียวกัน |
รูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern ) มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
1.รูปแบบของแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick Pattern)
2.รูปแบบของแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick Pattern)
3.รูปแบบของแท่งเทียนแบบต่อเนื่อง (Continuous Candlestick Patern)
รูปแบบกราฟแท่งเทียนที่มักจะพบบ่อยที่สุด มีดังนี้
โดยปกติแล้ว รูปแบบของแท่งเทียนมีเยอะมาก มากกว่า 50 รูปแบบ ถ้าจะให้เราจำหมด ก็คงไม่ไหว วันนี้ผมจึงเอาเฉพาะรูปแบบที่พบบ่อยบนกราฟของเรามาให้ดูกันครับ ว่าแต่ละตัวบอกถึงอะไร สื่อความหมายว่าอย่างไร การดูแท่งเทียนเป็นวิธีการที่ดีที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น หรือ ฟอเร็กซ์ และเพื่อความแม่นยำให้กับการวิเคราะห์กราฟของเรา เราก็ควรจะใช้รูปแบบของกราฟแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Indicator , Fibonacci , Trendline , Moving Average และ รูปแบบกราฟโดยทั่วไป เราสามารถประยุกต์กราฟแท่งเทียนเข้ากับเครื่องมือเหล่านี้ได้
10 อันดับที่พบบ่อยของ รูปแบบกราฟแท่งเทียน
Dark Cloud Cover: เป็นแท่งเทียนตามด้วยแท่งเทียนสีดำ ราคาเปิดของแท่งสีดำจะเปิดสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งสีขาวและราคาปิดของแท่ง สีดำจะปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งสีดำ รูปแบบนี้เป็นสัญญาณการกลับทิศจากแนวโน้มขาขึ้นกลายเป็นแนวโน้มขาลง (Bearish Reversal Signal)
แต่ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนสีดำ ปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งเทียนสีข่าว ให้เรารอสัญญาณยืนยันของแท่งเทียนสีดำอีกแท่ง ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนอีกแท่งปิดต่ำกว่ากึ่งกลางของแท่งสีขาว ก็เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นตลาดขาลง
Doji: เป็นกราฟแท่งเทียนที่มีราคาเปิดและราคาปิดอยู่ในราคาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันมากๆ เราก็ถือว่ากราฟแท่งเทียนนั้นเป็นโดจิ ลักษณะของมันจะคล้าย เครื่องหมาย บวก เครื่องหมาย ลบ กากบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเรียกว่า โดจิ
Doji: เป็นกราฟแท่งเทียนที่มีราคาเปิดและราคาปิดอยู่ในราคาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันมากๆ เราก็ถือว่ากราฟแท่งเทียนนั้นเป็นโดจิ ลักษณะของมันจะคล้าย เครื่องหมาย บวก เครื่องหมาย ลบ กากบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเรียกว่า โดจิ
ถ้าเกิด โดจิ ขึ้นกับกราฟของเรา นั่นคือสัญญาณบอกเราว่า ราคากำลังจะเปลี่ยนจากแนวโน้มเดิม โดยทั่วไปแล้ว เราจะดู โดจิเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูแท่งเทียนถัดมาอีกแท่งเพื่อเป็นสัญญาณยืนยันของแนว
โน้มนั้น
Engulfing Pattern: ในสภาวะที่เป็นตลาดขาลงเราจะเป็นว่าแท่งสีดำ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเปลี่ยนแท่ง ราคาจะกระโดดโดยที่ราคาเปิดของแท่งสีขาวจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งสีดำ และมีแรงซื้อเข้ามาทำให้เราราปิดของแท่งสีขาวสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งสีดำ นี่คือ ตลาดกำลังจะ
กลับตัวจากแนวโน้มลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น ลักษณะรูปแบบแท่งเทียนแบบนี้เรียกว่า Engulfing Bullish
Engulfing Pattern จะประกอบด้วย 2 รูปแบบคือ Engulfing Bullish และ Engulfing Bearish
Evening Star: โดยทั่วไปแล้วรูปแบบแท่งเทียนนี้จะเป็นการกลับตัวของกราฟจากแนวโน้มขาขึ้น กลายเป็นแนวโน้มขาลง โดบรูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีขาวยาวๆ และตามด้วยแท่งเล็กๆ ที่เกิดการกระโดดขึ้นไปอยู่บนยอด (gap) และมีขนาดเล็กๆ ราคาปิดและราคาเปิดของแท่งเทียนที่สองจะอยู๋ใกล้เคียงกัน จากนั้นก็เกิดช่องว่าง(gap)เปลี่ยนเป็นแท่งที่สามเป็นแท่งสีดำยาวๆ นี่คือลักษณะของ Evening Star นอกจาก Evening Star แล้วก็ยังมี Morning Star โดยหลักการก็ตรงกันข้ามกับ Evening Star
Hammer: เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลงมีแท่งเทียนสีดำลงมาเรื่อยๆ จากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด โดยลักษณะของแท่งเทียนจะเป็นแบบตะปู โดยที่มีราคาปิดจะปิดสูงกว่าราคาต่ำสุดลักษณะนี้เราจะเรียกว่า Hammer
Hammer มักจะบอกเราอยู่เสมอว่า ราคากำลังจะเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้น
Hanging Man: รูปแบบของ Hanging man จะคล้ายกับ Hammer แต่จะเกิดกับแนวโน้มขาขึ้น ถ้าเกิด Hanging man กราฟมันกำลังบอกเราว่า แนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นกลายเป็นขาลง ให้รอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนขาลงอีกแท่ง
Harami: รูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวและแท่งเทียนสี ดำ เมื่อมีแท่งเทียนปิดตัวลงได้เกิดแท่งเทียนสีดำเล็กขึ้น โดยแท่งเทียนสีดำอยู่ระหว่าง Body ของแท่งเทียนสีขาว แท่งเทียนแบบ Harami นี้จะบอกการกลับตัวจากแนวโน้มเดิม
Hanging Man: รูปแบบของ Hanging man จะคล้ายกับ Hammer แต่จะเกิดกับแนวโน้มขาขึ้น ถ้าเกิด Hanging man กราฟมันกำลังบอกเราว่า แนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นกลายเป็นขาลง ให้รอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนขาลงอีกแท่ง
Harami: รูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวและแท่งเทียนสี ดำ เมื่อมีแท่งเทียนปิดตัวลงได้เกิดแท่งเทียนสีดำเล็กขึ้น โดยแท่งเทียนสีดำอยู่ระหว่าง Body ของแท่งเทียนสีขาว แท่งเทียนแบบ Harami นี้จะบอกการกลับตัวจากแนวโน้มเดิม
Harami จะประกอบด้วย 2 รูปแบบคือ Bullish Harami และ Bearish Harami ตัวอย่างด้านบนเป็น Bullish harami
Morning Star: รูปแบบของแท่งเทียนแบบ morning star จะดูกันแค่ 3 แท่ง รูปแบบนี้เอาไว้ดูการกลับตัวของกราฟจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal candle pattern) จะประกอบแท่งเทียนสีดำยาวๆ ซึ่งเป็นแท่งเทียนขาลงและ ตามด้วยแท่งเทียนสั้นๆ ที่เกิด gab ด้วย เมื่อมีแท่งสั้นๆตรงกลางแล้ว ตามด้วย แท่งเทียนสีขาว
แท่งเทียนสีขาวที่เกิดขึ้น ราคาปิดของแท่งเทียนสีขาวต้องปิดสูงกว่ากึ่งกลางของแท่งเทียนสีดำ
Piercing Line: เป็นแท่งเทียนสีดำ ตามด้วยแท่งเทียนสีขาวที่มีราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนสีดำ แต่แท่งเทียนสีขาวสามารถทำราคาปิดสูงกว่ากึ่งกลางของแท่งเทียนสีดำ รูปแบบนี้เป็นรูปแบบการกลับตัวการกลับตัวของกราฟจากขาขึ้นเป็นกราฟขาลง และรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ตรงข้ามกับ Dark Cloud Cover
Piercing Line: เป็นแท่งเทียนสีดำ ตามด้วยแท่งเทียนสีขาวที่มีราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนสีดำ แต่แท่งเทียนสีขาวสามารถทำราคาปิดสูงกว่ากึ่งกลางของแท่งเทียนสีดำ รูปแบบนี้เป็นรูปแบบการกลับตัวการกลับตัวของกราฟจากขาขึ้นเป็นกราฟขาลง และรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ตรงข้ามกับ Dark Cloud Cover
Shooting Star: รูปแบบนี้จะตรงข้ามกับรูปแบบของ Hammer แท่งเทียนแท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาขึ้น และตามด้วยแท่งเทียนที่มีราคาปิดและเปิดอยู่ใกล้ๆกับราคาต่ำสุด รูปแบบนี้จะบ่งบอกเราว่ากราฟกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นมาเป็นแนวโน้มขา ลง
ทริคในการเทรดโดยรูปแบบแท่งเทียน ของ 9professsionaltrader
เรา สามารถดูแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวในการเทรด ได้ แต่เพื่อความแม่นยำ ควรจะดูควบคู่ไปกับ Indicators หรือ เครื่องมืออื่นๆไปด้วย เช่น
1.ผม จะดูรููปแบบของแท่งเทียนควบคู่ไปกับการดู Overbought Oversold เมื่อ Indicators บอกเราว่า ราคาได้ Oversold แล้ว ก็จะมาดูที่ราคา แล้วรอจนกว่าราคาจะเกิดแท่งเทียนกลับตัวเป็นแท่งเทียนขาขึ้น หรือเป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candle Pattern) จากนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะซื้อ (Buy)
2.ดู รูปแบบแท่งของแท่งเทียนควบคู่ไปกับ Trendline เมื่อราคาลงมาชนเส้นแนวโน้มขาขึ้น (Support Trendline or Uptrendline) พอมันลงมาชนแล้วเด้งขึ้น แล้วเราก็รอดูราคาปิดของแท่งเทียน ถ้าราคาปิดสูงกว่า กึ่งกลางของแท่งก่อนหน้านั้น แล้วเราจึงสินใจ Buy (ในกรณีที่ราคาขึ้นไปชนแนวโน้มขาลง(Resistance Trendline) ก็ทำตรงข้ามกัน)
3.ดู รูปแบบแท่งเทียนควบคู่กับ แนวรับแนวต้านจากราคาในอดีต และ Fibonacci เมื่อราคาแตะแนวรับแนวต้าน ให้เราสังเกตลักษณะแท่งเทียน ถ้าชนแนวเด้ง นั่นหมายความว่า ราคามีโอกาสกลับตัว แต่ถ้าชนแล้วผ่านฉลุย ปล่อยให้ราคามันวิ่งไป อย่าไปแตะมัน
ใครมีข้อสงสัย หรือ อยากให้เพิ่มตรงไหน คอมเม้นด้านล่างได้เลยนะครับ
Crude Oil And Gold Analysis by Fxpro
Gold
Pivot: 1305.00
Most Likely Scenario: LONG positions above 1305 with 1313.45 & 1320 in sight.
Alternative scenario: The downside breakout of 1305 will open the way to 1300 & 1295.
Comment: the former bullish channel resistance maintains an intraday bullish bias.
Trend: ST Bullish; MT Bullish
Crude Oil
Pivot: 76.00
Most Likely Scenario: LONG positions above 76 with 76.95 & 77.15 in sight.
Alternative scenario: The downside penetration of 76 will call for a slide towards 75.65 & 75.55.
Comment: the RSI broke above a bearish trend line.
Trend: ST Range; MT Range
Gold
Pivot: 1305.00
Most Likely Scenario: LONG positions above 1305 with 1313.45 & 1320 in sight.
Alternative scenario: The downside breakout of 1305 will open the way to 1300 & 1295.
Comment: the former bullish channel resistance maintains an intraday bullish bias.
Trend: ST Bullish; MT Bullish
Crude Oil
Pivot: 76.00
Most Likely Scenario: LONG positions above 76 with 76.95 & 77.15 in sight.
Alternative scenario: The downside penetration of 76 will call for a slide towards 75.65 & 75.55.
Comment: the RSI broke above a bearish trend line.
Trend: ST Range; MT Range
Elliott Wave E-Book หนังสือสำหรับการศึกษาทฤษฎีคลื่น Elliott Wave
ชื่อหนังสือ Mastering Elliott Wave แต่งโดย Glenn Neely
หนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับ ทฤษฎีของ Elliott Wave ไว้ครบถ้วน และเป็นต้นฉบับเลยก็ว่าได้สำหรับการศึกษา ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave
ชื่อหนังสือ Mastering Elliott Wave แต่งโดย Glenn Neely
หนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับ ทฤษฎีของ Elliott Wave ไว้ครบถ้วน และเป็นต้นฉบับเลยก็ว่าได้สำหรับการศึกษา ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave
ในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 12 Chapter
Charpter 1 Elementary Discussion จะอธิบายถึงที่มาว่า ทฤษฎีคลื่นอีเลียตเวฟคืออะไร ทำไมต้องศึกษา Elliott Wave
Charpter 2 General Concept คอนเซ็บทั่วไปของอีเลียตเวฟ ว่า คลื่นคืออะไร
Charpter 3 Preliminary Analysis การวิเคราะห์เบื้องต้น เรียนรู้ว่า Monowave คืออะไร และกฎการปรับฐานมีอะไรบ้าง
Charpter 4 Intermediary Observations จะบรรยาถึง Monowave Group และ Rule of Similarity and balance
Charpter 5 Central Consideration บทนี้เป็นหัวใจสำคัญ จะบรรยายถึง Impulsion และ Correction Wave
Charpter 6 Post Constructive Rules Of Logic อธิบายถึง Impulsion และ Corrections ต่อ .
Charpter 7 Conclusions
Charpter 8 Construction Of Complex Polywaves Multiwave etc,
Charpter 9 Basic Neely Extension , Trendline Touch point , Time rule
Charpter 10 Advance Logic Rules , Pattern Implication
Charpter 11 Advance Progress Label Application , Impulse Pattern and Corrective Pattern
Chapter 12 Advance Neely Extension
จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้น
ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยากขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอมขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียนเก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตมากกว่าเหตผล
นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มีใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจากอุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่างสมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความเป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้
อ่านต่อบทความต่อไปครับ
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้น
ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยากขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอมขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียนเก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตมากกว่าเหตผล
นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มีใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจากอุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่างสมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความเป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้
อ่านต่อบทความต่อไปครับ
EUR/USD Daily Analysis By 9Professionaltrader
EUR/USD (Wednesday)
แนวโน้มของอียูในวันนี้ มีแนวต้านอยู่ที่ 1.3589 และ High เมื่อคืนนี้ และ 1.3641 ซึ่งเป็นตำแหน่ง Fibonacci 161.8% ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านเหล่านี้ได้ จะลงมาอีกครั้ง โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1.3505 และ 1.3421
ดูจาก RSI ถ้าrsi ไม่ผ่าน เส้นสีแดงที่ขีดไว้ ราคาจะกลับลงมาอีกครั้ง ครับ
Fundamental Analysis วันนี้ CHF มีข่าวแดง ครับ ดูได้ที่www.forexfactory.com
EUR/USD(Tuesday)
สวัสดี ตอนเช้าวันอังคารครับ คงสนุกกับการเทรดแบบสวิงนะครับอียู เมื่อวานนี้อียูสวิงขึ้นลง 50-70 จุดต่อรอบ ช่วงนี้คือช่วงพักตัวของกราฟ พักตัวเพื่อไปต่อ (Continuous ) หรือพักตัวเพื่อรอการกลับตัว(Reversal) ให้ศึกษาเรื่อง แท่งเทียน(CandleStick) และรูปแบบของกราฟ(Chart Pattern)นะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
EUR/USD ได้ขึ้นไปทำ New high อีกครั้งที่ 1.3500 ซึ่งใกล้เคียงกับ High เดิม 1.3496 และราคาได้ดีดตัวลงมาที่ 1.3427 ในช่วงเช้านี้
แนว รับในวันนี้อยู่ที่ 1.3380 1.3360 1.3340 ตามลำดับ ถ้าหลุดสามแนวรับนี้จะลงไปทดสอบ Low ที่ fibonacci retracement 0% อีกครั้ง ที่ราคา 1.3286
แนวต้านอยู่ที่ 1.3500 และ บริเวณเส้น Trendline ด้านบน
ดังรูปครับ
กราฟ EUR/USD 4 H
จาก Relattive Strength Index , Rsi ชนแนวเส้นแนวต้านสีแดงแล้วไม่สามารถผ่านได้ ถ้า Rsi ขึ้นไปที่เส้นเทรนไลน์สีแดงอีกครั้ง แล้วไม่สามารถผ่านได้ นี่คือสัญญาณ Divergence Bearish อย่างชัดเจน ราคาจะกลับตัวลงมาอีกครั้ง
กราฟ EUR/USD 30 นาที
เรา มาดูกราฟ 30 นาทีครับ การวิเคราะห์กราฟของผมคือ ตอนแรกเราต้องวิเคราะห์กราฟใหญ่ก่อน ผมเลือกกราฟ 4 ชั่วโมง ต่อจากนั้นเราต้องมาวิเคราะห์กราฟที่ช่วงเวลาที่เล็กลง ผมเลือกกราฟ 30 นาที สาเหตุที่วิเคราะห์แบบนี้ เพื่อหาจังหวะในการเข้าเทรดที่กราฟช่วงเวลาสั้นๆ และเทรดในทิศทางเดียวกับแนวโน้มใหญ่ นี่คือ เทคนิค MTF : Multuple Time Frame ซึ่งหัวข้อ MTF นี้ผมจะเขียนบทความในโอกาสต่อไป
มาดูกราฟกันครับ
จากกราฟ EUR/USD ด้านบน จะเห็นว่า ราคาได้ลงมาทดสอบ Low ที่ 30 นาทีอีกครั้ง แล้วมีการดีดตัวขึ้นเล็กน้อย ถ้าราคาดีดตัวขึ้นไป มันจะกลับไปที่ Fibonacci Retracement 38.2-61.8% เส้นสีขาวที่ผมได้ลากไว้ นอกจากเราจะลาก Fibonacci Retracement ที่ Time Frame ใหญ่ๆแล้ว เราต้องลาก Fibonacci ระหว่างวัน(Intraday)ด้วย โดยวัดจาก High และ Low ของกราฟเมื่อวานนี้ เพื่อหาแนวรับแนวต้านของวัน
ถ้าราคาดีดขึ้นไป แนวต้านของราคาก็จะอยู่ที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 -61.8 และแนวต้านของ RSI ก็จะอยู่ที่เส้น Trendline สีแดง ถ้าราคาและRsi ไม่สามารถผ่านแนวต้านเหล่านี้ได้ และมีแท่งเทียนกลับตัว ณ บริเวณนั้น เราก็สามารถ Sell ได้ครับ ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ ถ้าใครได้อ่านบทวิเคราะห์ผมทุกวัน ก็เหมือนการเรียนรู้การวิเคราะห์กราฟไปในตัว ผมหวังว่าวิธีการนี้คงเป็นประโยชน์กับเทรดเดอร์ทุกคนนะครับ
Fundamental Analysis : ข่าว วันนี้มีข่าวแรงๆทั้งกระดานเลยครับ ราคาคงวิ่งแรงแน่นอน ดูข่าวได้ที่ www.forexfactory.com ขอให้บวกๆ กันทั่วหน้านะครับ 9prof ^^
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
EUR/USD(Monday)
สวัสดี เช้าวันจันทร์ ที่ 27 กันยายน 2553 วันแรกของการเปิดตลาดสัปดาห์นี้ครับ ตลาดซิดนี่ย์เปิด ก็พุ่งขึ้นเล็กน้อยครับไปทดสอบ High แล้วร่วงลงมาปรับฐานเล็กน้อย สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือน หุ้นทุกตัว ค่าเงินทุกตัวผันผวนมากครับ
เข้าสูู่โหมดการวิเคราะห์แนว โน้มของค่าเงิน EUR/USD กันต่อครับ หลังจากที่วันศุกร์อียูได้พุ่งขึ้นมาทำ New High อีกครั้ง เหนือความคาดหมายของหลายๆคน โดยขึ้นมาทำ High ที่ 1.3496 จาก Fibonacci Retracement จะเห็นว่า ผมได้วัดจาก Low 1.3286 (0%fibo) และ High 1.3496(100%fibo) ตอนนี้อียูติดแนวต้านที่ระดับ Fibo 138.2% ที่ราคา1.3496 เป๊ะๆ เลยครับ
คำ แนะนำสำหรับวันนี้ครับ ถ้าอียูขึ้นมาทดสอบ High 1.3496 แล้วไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านแต่ไม่เกิน Fibonacci Retracement 161.8%ที่ราคา 1.3530-50 แล้วเกิดแท่งเทียนกลับตัวลงมา ให้หาจังหวะ Sell ได้เลยครับ
Relative Strength Index , RSI ดูจาก Rsi สอง Top เทียบกัน วิเคราะห์โดยใช้หลักการของ Divergence ลักษณะ ของ rsiแบบนี้คือ Bearish Divergence เราจะเห็นว่าราคาทำ New High ที่สูงกว่า High เดิม แต่ RSI ทำสุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดอันเก่า แบบนี้เราจะเรียกว่า Bearish Divergence ครับ
แนวรับอยู่ที่ 1.3438 และ 1.3380 ครับ
EUR/USD (Wednesday)
แนวโน้มของอียูในวันนี้ มีแนวต้านอยู่ที่ 1.3589 และ High เมื่อคืนนี้ และ 1.3641 ซึ่งเป็นตำแหน่ง Fibonacci 161.8% ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านเหล่านี้ได้ จะลงมาอีกครั้ง โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1.3505 และ 1.3421
ดูจาก RSI ถ้าrsi ไม่ผ่าน เส้นสีแดงที่ขีดไว้ ราคาจะกลับลงมาอีกครั้ง ครับ
Fundamental Analysis วันนี้ CHF มีข่าวแดง ครับ ดูได้ที่www.forexfactory.com
EUR/USD(Tuesday)
สวัสดี ตอนเช้าวันอังคารครับ คงสนุกกับการเทรดแบบสวิงนะครับอียู เมื่อวานนี้อียูสวิงขึ้นลง 50-70 จุดต่อรอบ ช่วงนี้คือช่วงพักตัวของกราฟ พักตัวเพื่อไปต่อ (Continuous ) หรือพักตัวเพื่อรอการกลับตัว(Reversal) ให้ศึกษาเรื่อง แท่งเทียน(CandleStick) และรูปแบบของกราฟ(Chart Pattern)นะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
EUR/USD ได้ขึ้นไปทำ New high อีกครั้งที่ 1.3500 ซึ่งใกล้เคียงกับ High เดิม 1.3496 และราคาได้ดีดตัวลงมาที่ 1.3427 ในช่วงเช้านี้
แนว รับในวันนี้อยู่ที่ 1.3380 1.3360 1.3340 ตามลำดับ ถ้าหลุดสามแนวรับนี้จะลงไปทดสอบ Low ที่ fibonacci retracement 0% อีกครั้ง ที่ราคา 1.3286
แนวต้านอยู่ที่ 1.3500 และ บริเวณเส้น Trendline ด้านบน
ดังรูปครับ
กราฟ EUR/USD 4 H
จาก Relattive Strength Index , Rsi ชนแนวเส้นแนวต้านสีแดงแล้วไม่สามารถผ่านได้ ถ้า Rsi ขึ้นไปที่เส้นเทรนไลน์สีแดงอีกครั้ง แล้วไม่สามารถผ่านได้ นี่คือสัญญาณ Divergence Bearish อย่างชัดเจน ราคาจะกลับตัวลงมาอีกครั้ง
กราฟ EUR/USD 30 นาที
เรา มาดูกราฟ 30 นาทีครับ การวิเคราะห์กราฟของผมคือ ตอนแรกเราต้องวิเคราะห์กราฟใหญ่ก่อน ผมเลือกกราฟ 4 ชั่วโมง ต่อจากนั้นเราต้องมาวิเคราะห์กราฟที่ช่วงเวลาที่เล็กลง ผมเลือกกราฟ 30 นาที สาเหตุที่วิเคราะห์แบบนี้ เพื่อหาจังหวะในการเข้าเทรดที่กราฟช่วงเวลาสั้นๆ และเทรดในทิศทางเดียวกับแนวโน้มใหญ่ นี่คือ เทคนิค MTF : Multuple Time Frame ซึ่งหัวข้อ MTF นี้ผมจะเขียนบทความในโอกาสต่อไป
มาดูกราฟกันครับ
จากกราฟ EUR/USD ด้านบน จะเห็นว่า ราคาได้ลงมาทดสอบ Low ที่ 30 นาทีอีกครั้ง แล้วมีการดีดตัวขึ้นเล็กน้อย ถ้าราคาดีดตัวขึ้นไป มันจะกลับไปที่ Fibonacci Retracement 38.2-61.8% เส้นสีขาวที่ผมได้ลากไว้ นอกจากเราจะลาก Fibonacci Retracement ที่ Time Frame ใหญ่ๆแล้ว เราต้องลาก Fibonacci ระหว่างวัน(Intraday)ด้วย โดยวัดจาก High และ Low ของกราฟเมื่อวานนี้ เพื่อหาแนวรับแนวต้านของวัน
ถ้าราคาดีดขึ้นไป แนวต้านของราคาก็จะอยู่ที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 -61.8 และแนวต้านของ RSI ก็จะอยู่ที่เส้น Trendline สีแดง ถ้าราคาและRsi ไม่สามารถผ่านแนวต้านเหล่านี้ได้ และมีแท่งเทียนกลับตัว ณ บริเวณนั้น เราก็สามารถ Sell ได้ครับ ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ ถ้าใครได้อ่านบทวิเคราะห์ผมทุกวัน ก็เหมือนการเรียนรู้การวิเคราะห์กราฟไปในตัว ผมหวังว่าวิธีการนี้คงเป็นประโยชน์กับเทรดเดอร์ทุกคนนะครับ
Fundamental Analysis : ข่าว วันนี้มีข่าวแรงๆทั้งกระดานเลยครับ ราคาคงวิ่งแรงแน่นอน ดูข่าวได้ที่ www.forexfactory.com ขอให้บวกๆ กันทั่วหน้านะครับ 9prof ^^
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
EUR/USD(Monday)
สวัสดี เช้าวันจันทร์ ที่ 27 กันยายน 2553 วันแรกของการเปิดตลาดสัปดาห์นี้ครับ ตลาดซิดนี่ย์เปิด ก็พุ่งขึ้นเล็กน้อยครับไปทดสอบ High แล้วร่วงลงมาปรับฐานเล็กน้อย สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือน หุ้นทุกตัว ค่าเงินทุกตัวผันผวนมากครับ
เข้าสูู่โหมดการวิเคราะห์แนว โน้มของค่าเงิน EUR/USD กันต่อครับ หลังจากที่วันศุกร์อียูได้พุ่งขึ้นมาทำ New High อีกครั้ง เหนือความคาดหมายของหลายๆคน โดยขึ้นมาทำ High ที่ 1.3496 จาก Fibonacci Retracement จะเห็นว่า ผมได้วัดจาก Low 1.3286 (0%fibo) และ High 1.3496(100%fibo) ตอนนี้อียูติดแนวต้านที่ระดับ Fibo 138.2% ที่ราคา1.3496 เป๊ะๆ เลยครับ
คำ แนะนำสำหรับวันนี้ครับ ถ้าอียูขึ้นมาทดสอบ High 1.3496 แล้วไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านแต่ไม่เกิน Fibonacci Retracement 161.8%ที่ราคา 1.3530-50 แล้วเกิดแท่งเทียนกลับตัวลงมา ให้หาจังหวะ Sell ได้เลยครับ
Relative Strength Index , RSI ดูจาก Rsi สอง Top เทียบกัน วิเคราะห์โดยใช้หลักการของ Divergence ลักษณะ ของ rsiแบบนี้คือ Bearish Divergence เราจะเห็นว่าราคาทำ New High ที่สูงกว่า High เดิม แต่ RSI ทำสุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดอันเก่า แบบนี้เราจะเรียกว่า Bearish Divergence ครับ
แนวรับอยู่ที่ 1.3438 และ 1.3380 ครับ
EUR/USD Daily Analysis By 9Professionaltrader
สวัสดีเช้าวันจันทร์ ที่ 27 กันยายน 2553 วันแรกของการเปิดตลาดสัปดาห์นี้ครับ ตลาดซิดนี่ย์เปิด ก็พุ่งขึ้นเล็กน้อยครับไปทดสอบ High แล้วร่วงลงมาปรับฐานเล็กน้อย สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือน หุ้นทุกตัว ค่าเงินทุกตัวผันผวนมากครับ
เข้าสูู่โหมดการวิเคราะห์แนวโน้มของค่าเงิน EUR/USD กันต่อครับ หลังจากที่วันศุกร์อียูได้พุ่งขึ้นมาทำ New High อีกครั้ง เหนือความคาดหมายของหลายๆคน โดยขึ้นมาทำ High ที่ 1.3496 จาก Fibonacci Retracement จะเห็นว่า ผมได้วัดจาก Low 1.3286 (0%fibo) และ High 1.3496(100%fibo) ตอนนี้อียูติดแนวต้านที่ระดับ Fibo 138.2% ที่ราคา1.3496 เป๊ะๆ เลยครับ
คำแนะนำสำหรับวันนี้ครับ ถ้าอียูขึ้นมาทดสอบ High 1.3496 แล้วไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านแต่ไม่เกิน Fibonacci Retracement 161.8%ที่ราคา 1.3530-50 แล้วเกิดแท่งเทียนกลับตัวลงมา ให้หาจังหวะ Sell ได้เลยครับ
Relative Strength Index , RSI ดูจาก Rsi สอง Top เทียบกัน วิเคราะห์โดยใช้หลักการของ Divergence ลักษณะของ rsiแบบนี้คือ Bearish Divergence เราจะเห็นว่าราคาทำ New High ที่สูงกว่า High เดิม แต่ RSI ทำสุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดอันเก่า แบบนี้เราจะเรียกว่า Bearish Divergence ครับ
แนวรับอยู่ที่ 1.3438 และ 1.3380 ครับ
สวัสดีเช้าวันจันทร์ ที่ 27 กันยายน 2553 วันแรกของการเปิดตลาดสัปดาห์นี้ครับ ตลาดซิดนี่ย์เปิด ก็พุ่งขึ้นเล็กน้อยครับไปทดสอบ High แล้วร่วงลงมาปรับฐานเล็กน้อย สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือน หุ้นทุกตัว ค่าเงินทุกตัวผันผวนมากครับ
เข้าสูู่โหมดการวิเคราะห์แนวโน้มของค่าเงิน EUR/USD กันต่อครับ หลังจากที่วันศุกร์อียูได้พุ่งขึ้นมาทำ New High อีกครั้ง เหนือความคาดหมายของหลายๆคน โดยขึ้นมาทำ High ที่ 1.3496 จาก Fibonacci Retracement จะเห็นว่า ผมได้วัดจาก Low 1.3286 (0%fibo) และ High 1.3496(100%fibo) ตอนนี้อียูติดแนวต้านที่ระดับ Fibo 138.2% ที่ราคา1.3496 เป๊ะๆ เลยครับ
คำแนะนำสำหรับวันนี้ครับ ถ้าอียูขึ้นมาทดสอบ High 1.3496 แล้วไม่ผ่าน หรือถ้าผ่านแต่ไม่เกิน Fibonacci Retracement 161.8%ที่ราคา 1.3530-50 แล้วเกิดแท่งเทียนกลับตัวลงมา ให้หาจังหวะ Sell ได้เลยครับ
Relative Strength Index , RSI ดูจาก Rsi สอง Top เทียบกัน วิเคราะห์โดยใช้หลักการของ Divergence ลักษณะของ rsiแบบนี้คือ Bearish Divergence เราจะเห็นว่าราคาทำ New High ที่สูงกว่า High เดิม แต่ RSI ทำสุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่า จุดสูงสุดอันเก่า แบบนี้เราจะเรียกว่า Bearish Divergence ครับ
แนวรับอยู่ที่ 1.3438 และ 1.3380 ครับ